The PM2.5 Situation in Thailand

ฝุ่น PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งมีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ลึกและส่งผลกระทบในระยะยาว

CHECK ME-OW! (THAI)

2/4/20254 min read

Check Me-oW! EP18 :

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมาก ฝุ่น PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งมีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ลึกและส่งผลกระทบในระยะยาว ทั้งนี้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในเมืองใหญ่โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และบางจังหวัดทางภาคเหนือมีระดับที่สูงเกินมาตรฐานที่กำหนด ทำให้สุขภาพของคนไทยถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย

ที่มาและสาเหตุ

ฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นจากหลายแหล่ง เช่น

  • ไอเสียจากยานพาหนะและเครื่องยนต์
    รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เชื้อเพลิงไม่สะอาด โดยเฉพาะรถดีเซลเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็กออกมา

  • โรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า
    การเผาไหม้ในโรงงานและโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซและฝุ่นละอองออกสู่บรรยากาศ

  • การก่อสร้างและการเผาขยะ
    ฝุ่นจากการรื้อถอนอาคารและการก่อสร้าง รวมถึงการเผาขยะหรือการเผาเศษวัสดุในที่โล่งก็มีส่วนทำให้ระดับฝุ่นเพิ่มขึ้น

  • การเผาในภาคเกษตร
    ในบางพื้นที่ เช่น ภาคเหนือ การเผาไร่หรือเผาวัชพืชมีส่วนทำให้ระดับฝุ่น PM2.5 สูงขึ้นในฤดูหนาว

ข้อมูลจาก IQAir และ Thai PBS ระบุว่าค่าฝุ่นในบางเขตของกรุงเทพฯ เกินมาตรฐานอย่างชัดเจน โดยในบางพื้นที่มีค่าฝุ่นถึงระดับสีส้มหรือแดง ซึ่งบ่งบอกถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น bbc.com , thaipbs.or.th

สถิติและข้อมูลล่าสุด

  • กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีค่า PM2.5 เฉลี่ยในบางช่วงเวลาที่สูงเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้

  • มีรายงานจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น Thai PBS ที่บอกว่าในบางเขตของกรุงเทพฯ ค่าฝุ่นอาจสูงถึง 60-70 มคก./ลบ.ม. ซึ่งถือว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพ

    thaipbs.or.th

  • นอกจากนี้ สถานการณ์ฝุ่นในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ยังคงเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของฝุ่นสูง เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและมีการเผาในที่โล่งอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบต่อสุขภาพ

ฝุ่น PM2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพในหลายด้าน ดังนี้

1. ระบบทางเดินหายใจ

  • ฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถเข้าสู่ถุงลมในปอดได้ง่าย ส่งผลให้เกิดอาการไอ แสบคอ หรือระคายเคืองในจมูกและตา

  • สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืดหรือโรคปอดเรื้อรัง ฝุ่น PM2.5 อาจทำให้อาการกำเริบและรุนแรงขึ้น

  • ในระยะยาว การสัมผัสฝุ่นเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและมะเร็งปอด

2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด

  • การรับฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดการอักเสบภายในหลอดเลือด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

  • การเปลี่ยนแปลงภายในระบบไหลเวียนเลือดที่เกิดจากฝุ่นอาจส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและเกิดภาวะผิดปกติได้

3. ผลกระทบในกลุ่มเปราะบาง

  • เด็กเล็ก: เนื่องจากระบบทางเดินหายใจและภูมิคุ้มกันยังไม่พัฒนาเต็มที่ จึงมีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากฝุ่นมากกว่า

  • หญิงมีครรภ์: ฝุ่น PM2.5 อาจมีผลต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ เช่น การคลอดก่อนกำหนด

  • ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว: ระบบร่างกายที่เริ่มอ่อนแอลงมีความเสี่ยงต่อผลกระทบของมลพิษมากขึ้น

ข้อมูลจาก Samitivej Hospitals และบทความจาก BNH Hospital ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของฝุ่น PM2.5 สามารถนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรังและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้รับสัมผัสในระยะยาวได้อย่างมาก samitivejhospitals.com , bnhhospital.com

Bonus Track

SAWASDEE LEICESTER TOUR & TRAVEL

Share to Social

Share to Social

city with high-rise building covered with fogs
city with high-rise building covered with fogs

แนวทางป้องกันและดูแลสุขภาพ

เพื่อรับมือกับวิกฤตฝุ่น PM2.5 นี่คือแนวทางที่ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพได้

1. ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศ

  • ใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์เช่น Air4Thai เพื่อติดตามค่า AQI ก่อนออกจากบ้าน

  • หากค่า AQI สูง ควรลดกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อหลีกเลี่ยงการรับฝุ่นเข้าร่างกาย

2. สวมหน้ากากป้องกัน

  • เมื่อจำเป็นต้องออกจากบ้านในช่วงที่ฝุ่นสูง ควรสวมหน้ากากที่มีประสิทธิภาพ เช่น หน้ากาก N95 ซึ่งสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ดี

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้ากากสวมแนบสนิทกับใบหน้าเพื่อป้องกันฝุ่นเข้ามาทางรอยต่อ

3. ป้องกันฝุ่นภายในบ้าน

  • ปิดหน้าต่างและประตูในช่วงที่มีฝุ่นเข้มข้น

  • ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบกรอง HEPA ซึ่งสามารถลดปริมาณฝุ่นในอากาศภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำด้วยวิธีที่ไม่ทำให้ฝุ่นลอยฟุ้ง เช่น เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ

4. ดูแลสุขภาพร่างกาย

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจลำบากหรืออาการระคายเคือง ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

แนวทางเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศและฟิลเตอร์สำหรับบ้าน

การมีอากาศที่สะอาดในบ้านเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพของเรา เครื่องฟอกอากาศหรือระบบฟิลเตอร์ที่ดีจะช่วยลดฝุ่นละอองและสารพิษในอากาศได้ แต่การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศหรือฟิลเตอร์ที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ขนาดของพื้นที่ใช้งาน

ก่อนเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ ควรทราบขนาดของห้องหรือพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน เพราะเครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นจะมีพื้นที่ครอบคลุมที่แตกต่างกัน

  • เลือกรุ่นที่มีขนาดครอบคลุมตรงกับห้องที่ต้องการ เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่ทำงาน

  • ดูคุณสมบัติที่ระบุว่าเหมาะกับพื้นที่กี่ตารางเมตร

2. ระบบกรองอากาศ

ระบบกรองเป็นหัวใจหลักของเครื่องฟอกอากาศที่ดี ควรตรวจสอบว่าเครื่องมีระบบกรองใดบ้าง

  • แผ่นกรอง HEPA: ควรมีแผ่นกรอง HEPA ที่สามารถดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • แผ่นกรองคาร์บอน: ช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์และสารเคมีบางชนิด

  • ระบบกรองหลายชั้นจะช่วยลดสิ่งปนเปื้อนได้ดียิ่งขึ้น

3. ประสิทธิภาพในการทำงาน (CADR)

ค่า Clean Air Delivery Rate (CADR) เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นและสารพิษของเครื่องฟอกอากาศ

  • ยิ่งค่า CADR สูง เครื่องฟอกอากาศจะสามารถกำจัดฝุ่นในอากาศได้เร็วขึ้น

  • ตรวจสอบว่าค่า CADR ของเครื่องนั้นเหมาะสมกับพื้นที่ใช้งานของคุณหรือไม่

4. ระดับเสียงขณะทำงาน

เครื่องฟอกอากาศที่ทำงานในบ้านควรมีเสียงที่ไม่ดังจนรบกวนกิจวัตรประจำวัน

  • ควรอ่านรีวิวหรือดูข้อมูลด้านเสียงในสเปคเครื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งานในห้องนอนหรือห้องทำงานจะไม่สร้างความรำคาญ

5. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

นอกจากราคาเครื่องฟอกอากาศแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแผ่นกรองก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา

  • ควรสอบถามระยะเวลาในการเปลี่ยนแผ่นกรองและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

  • เลือกรุ่นที่มีค่าใช้จ่ายในระยะยาวที่เหมาะสมกับงบประมาณของคุณ

6. การออกแบบและฟังก์ชันการควบคุม

การใช้งานที่ง่ายและการออกแบบที่เข้ากับบ้านก็เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง

  • เครื่องฟอกอากาศที่มีปุ่มควบคุมและหน้าจอแสดงผลที่เข้าใจง่ายจะช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น

  • ฟังก์ชันการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแอปพลิเคชันสำหรับการควบคุมจากระยะไกลอาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ชอบติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

7. การรับรองมาตรฐาน

ควรเลือกเครื่องที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ

  • ดูว่ามีการทดสอบและรับรองจากองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพหรือไม่ เพื่อยืนยันความสามารถในการกรองฝุ่นได้จริง

เครื่องฟอกอากาศถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก

การดูแลอากาศภายในบ้านเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญในการลดความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5

  • เครื่องฟอกอากาศ 3in1 Filter (HEPA & Carbon Filter) ไส้กรองเฮปป้า & คาร์บอน
    Air Purifier เหมาะมากสำหรับคนที่มีอาการแพ้ และต้องการกำจัดกลิ่น ครบจบได้ในเครื่องเดียว เพราะแผ่นกรองของเรามีทั้ง HEPA Filter ที่เก่งในเรื่องการดักจับอนุภาคทางกายภาพ เช่น มลพิษ ฝุ่นละออง เชื้อรา และอื่นๆที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อีกทั้งรุ่นนี้มีคาร์บอนฟิลเตอร์ ที่เก่งในเรื่องของการกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ ควัน และอนุภาคก๊าซได้ดีอีกด้วย เพื่อสุขภาพและอากาศที่ดีภายในบ้านของเรา

  • คุณสมบัติที่โดดเด่น

    จุดเด่น 3 in 1 เทคโนโลยีด้วยแผ่นกรอง 3 ชั้น ประกอบด้วย

    • 1) แผ่นกรองชั้นแรก Pre-Filter ช่วยดักสิ่งสกปรกขนาดระดับปกติ

    • 2) แผ่นกรองเฮปป้า H13 HEPA Filter สามารถดักจับฝุ่นที่มีอนุภาคเล็ก 0.3 ไมครอน ที่มีขนาดเล็กกว่าฝุ่น PM 2.5 อีกทั้งยังสามารถกรองได้ถึง 99.97 % ด้วยวัสดุทำจากเทคโนโลยีเส้นใยขั้นสูง ทำให้เรามั่นใจว่าฝุ่นที่มีขนาดเล็ก มากๆ สิ่งสกปรก ควัน หรือแม้แต่แบคทีเรียและเชื้อราที่ลอยอยู่ในอากาศ ก็จะไม่เหลืออยู่ในอากาศที่เรา หายใจเข้าไปแน่นอน

    • 3) Activated Carbon Filter คาร์บอนฟิลเตอร์มีส่วนผสมของถ่านกัมมันต์ ที่ช่วยดักจับ แบคทีเรีย และสิ่งสกปรกอื่นๆในอากาศ ช่วยในการดูดซับกลิ่น ควันไม่พึงประสงค์ได้เป็นอย่างดี

การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศหรือฟิลเตอร์สำหรับใช้ในบ้านควรคำนึงถึงขนาดพื้นที่ การมีระบบกรองหลายชั้น ประสิทธิภาพการทำงาน ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ระดับเสียงและฟังก์ชันการควบคุม รวมถึงการรับรองมาตรฐานของเครื่อง เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ครบถ้วน คุณจะสามารถเลือกเครื่องที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการลดฝุ่นและสิ่งปนเปื้อนในอากาศภายในบ้านได้ สามารถคลิกที่ลิงก์นี้เพื่อดูข้อมูลและโปรโมชั่นพิเศษได้ รายละเอียดเพิ่มเติม

ด้วยการดูแลอากาศในบ้านให้สะอาด คุณจะช่วยปกป้องสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัวได้อย่างยั่งยืน หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามหรือแสดงความคิดเห็นด้านล่างได้เสมอ

สรุป

ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทยเป็นวิกฤตที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด หรือผลกระทบในกลุ่มเปราะบาง เราควรให้ความสำคัญกับการติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศและใช้มาตรการป้องกันอย่างเหมาะสม

  • หมั่นตรวจสอบข้อมูล AQI ก่อนออกจากบ้าน

  • สวมหน้ากากคุณภาพดีเมื่อต้องออกนอกบ้าน

  • ป้องกันฝุ่นภายในบ้านด้วยการปิดหน้าต่างและใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบ HEPA

  • ดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย

ด้วยความรู้และวิธีการที่ถูกต้อง เราสามารถลดความเสี่ยงและรับมือกับวิกฤต PM2.5 ได้อย่างมั่นใจ เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและคนที่คุณรัก

เราลองมาดูผลกระทบของ PM2.5 ต่อสุขภาพของนักกีฬา

นักกีฬามักออกกำลังกายด้วยความหนักแน่นและหายใจเร็ว ทำให้เมื่อออกกำลังกายในสภาพอากาศที่มีฝุ่น PM2.5 สูง ร่างกายจะได้รับฝุ่นในปริมาณที่มากขึ้น เมื่อฝุ่นเข้าสู่ปอดในระหว่างการหายใจลึก ฝุ่นเหล่านี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินหายใจ ทำให้อาจเกิดอาการไอ หอบเหนื่อย หรือแม้กระทั่งเจ็บหน้าอกในระยะสั้น

นอกจากนี้ ในระยะยาว การรับฝุ่น PM2.5 ในปริมาณมากอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้น เช่น

  • ปัญหาทางเดินหายใจ: ทำให้เกิดโรคหอบหืดและโรคปอดเรื้อรัง

  • ผลกระทบต่อหัวใจ: การทำงานของหัวใจอาจลดลงลงและเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ

  • ลดประสิทธิภาพการฝึกซ้อม: เมื่อระบบหายใจทำงานไม่เต็มที่ ผลการแข่งขันและความทนทานของนักกีฬาก็อาจลดลงได้

ข้อมูลจากการวิจัยหลายชิ้นระบุว่าการฝึกซ้อมในสภาพอากาศที่มีมลพิษสูงไม่เพียงแต่ลดประสิทธิภาพของนักกีฬา แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจและหัวใจอีกด้วย

แนวทางดูแลและป้องกันสำหรับนักกีฬา

เพื่อป้องกันผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 นักกีฬาสามารถปฏิบัติตามแนวทางดังนี้:

ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนฝึกซ้อม:

ควรเช็คค่าฝุ่นในแต่ละวันผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลคุณภาพอากาศ เช่น AirVisual หรือ AQICN เมื่อพบว่าค่าฝุ่นสูง ควรลดระดับการออกกำลังกายในที่กลางแจ้งหรือเลือกเปลี่ยนเป็นการฝึกซ้อมภายในอาคารที่มีระบบกรองอากาศที่ดี

สวมหน้ากากที่เหมาะสม:

สำหรับการฝึกซ้อมในพื้นที่ที่มีมลพิษ ควรใช้หน้ากากที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ อย่างไรก็ตาม ควรระวังว่าในระหว่างการออกกำลังกายหนักบางครั้งหน้ากากอาจทำให้การหายใจรู้สึกอึดอัด ดังนั้นควรปรับใช้ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมและระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกาย

เลือกเวลาฝึกซ้อมอย่างเหมาะสม:

หากเป็นไปได้ ควรเลือกเวลาที่ค่าฝุ่นต่ำหรือในช่วงเวลาที่มีอากาศบริสุทธิ์มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับอากาศที่สะอาดและลดความเสี่ยงในการรับฝุ่นเข้าสู่ปอด

การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง:

นักกีฬาควรมีการตรวจสุขภาพโดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจอย่างสม่ำเสมอ หากพบอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์และปรับเปลี่ยนรูปแบบการฝึกซ้อม รวมถึงรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาและสุขภาพ

การปรับเปลี่ยนสถานที่ฝึกซ้อม:

ในกรณีที่ค่าฝุ่นในพื้นที่กลางแจ้งสูง องค์กรหรือทีมกีฬาควรพิจารณาจัดการฝึกซ้อมในสถานที่ที่มีระบบกรองอากาศหรือในร่มที่มีคุณภาพอากาศดี เพื่อลดความเสี่ยงในการรับมลพิษ

การดูแลสุขภาพและป้องกันผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 นอกจากจะเป็นเรื่องของนักกีฬาแต่ยังเป็นความรับผิดชอบของโค้ชและทีมแพทย์ในการวางแผนการฝึกซ้อมและตรวจสุขภาพอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าการออกกำลังกายจะไม่เป็นอุปสรรคต่อสุขภาพระยะยาวของนักกีฬา

สรุปส่วนเพิ่มเติม

การออกกำลังกายในสภาพที่มีฝุ่น PM2.5 สูงอาจส่งผลเสียต่อระบบหายใจและหัวใจของนักกีฬา ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการแข่งขันและทำให้เกิดปัญหาสุขภาพระยะยาวได้ นักกีฬาควรตรวจสอบคุณภาพอากาศก่อนฝึกซ้อม เลือกเวลาที่เหมาะสม และหากจำเป็นควรสวมหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นได้ รวมทั้งควรมีการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อเฝ้าระวังอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างนักกีฬา โค้ช และทีมแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษาสุขภาพและประสิทธิภาพในการออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย

✔️ กด Like กด Shared กด Subscribe และกดกระดิ่ง เพื่อเป็นกำลังใจและสนับสนุนช่องเล็กๆช่องนี้กันนะครับ ตอนนี้บอกได้คำเดียวเท่านั้นว่า สู้ตายเท่านั้นที่จะรอด

สินค้าแนะนำ

ท่านสามารถทำรายการสั่งซื้อเพื่อร่วมสนับสนุนการสร้างสรรค์คอนเทนต์จากช่องเล็กๆ แห่งนี้

BLACK FRIDAY DEAL

Our Product Promotion ( 30%Off Now )

highlights stylish, high-quality apparel that combines comfort, durability, and value for every lifestyle.

MUG
PHONE CASE
SHIRT